One Day in Vientiane
- Anjana Wichalai
- Nov 13, 2017
- 1 min read
คุณเคยทำอะไรแบบไม่ได้ตั้งใจไหม ?
คุณเคยไปไหนแบบไม่ได้วางแพลนไหม ?
เดาว่าทุกคนคงเป็นบ่อยและนั่นแหละค่ะครั้งนี้คือเราเอง ,, 1 วัน สำหรับการไม่ได้ตั้งใจ .. 1 วันสำหรับการไม่ได้วางแพลนล่วงหน้า
ครั้งนี้เราไปกันที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว ,, บอกแล้วเราไม่ได้ตั้งใจจะไปคิดไว้ตอนกลางคืนตอนเช้าก็ไปเลย ด้วยความที่การเดินทางสะดวกสบายรถบัสต่อเดียวก็ถึงที่หมายแล้ว เอกสารก็มีแค่พาสปอร์ตเล่มเดียวจบ แถมประเทศลาวเป็นประเทศที่มีภาษาและวัฒนธรรมใกล้เคียงกับประเทศไทยด้วย อารมณ์เหมือนเดินทางไปต่างจังหวัดนี่เองเราเลยไปแบบไม่ได้กังวลอะไรมากมาย รีวิวนี่เปิดดูก่อนนอน (อย่าเรียกว่าเปิดดูเลย นี่เปิดผ่านแบบ fast & furious ดูแต่รูปจ้าาาา) คิดไว้ว่าพรุ่งนี้ค่อยศึกษาวางแพลนบนรถบัสก็แล้วกันแล้วก็ปิดไฟห่มผ้านอนหลับฝันดี
ตัดภาพไปที่บนรถบัส .... คร่อกกกก หลับค่ะ หลับตลอดทาง ตื่นมาก็ถึงแล้ว อ้าวคือแบบ เออนี่ต้องไปไหน มีที่เที่ยวอะไร แลนด์มาร์คอะไร อาหารชื่อดังคืออะไร ต้องแลกเงินเท่าไหร่ รถกลับเที่ยวสุดท้ายกี่โมง ไปไหนมาไหนยังไง โทรศัพท์กับอินเตอร์เน็ทก็ใช้ไม่ได้ทั้งตัวมีแค่กล้องฟิล์ม กระเป๋าตังค์ น้ำเปล่า แล้วเราตั้งทำยังไงต่อออออออ ..... นั่งอึ้งที่บขส.เวียงจันทน์ประมาณ 10 นาที พี่คนลาวก็มาถามจะไปไหน พักอยู่ไหน เที่ยวไหนกัน เราก็ตอบแต่แค่ บ่รู้ บ่รู้ บ่รู้ บ่รู้ ไม่ได้กวนตีนนะแต่แบบไม่รู้จริงๆ (ร้องไห้ฮือๆในใจ) โอเคพอเรียกสติได้ปุ๊ปก็นึกออกว่าในโทรศัพท์มีแอพแมพออฟไลน์ นั่นไงทางสว่างของเรา เยสสส (ฮ๊าาาาา ร้องแบบประสานเสียงพร้อมกับมีแสงของพระเจ้าส่องมา)
เจ้าแอพนี้นำทางเรามาวัดที่ใกล้ที่สุดที่เราพอจะเดินมาได้นั่นคือ Wat Si Saket ซื้อตั๋วเข้ามาด้วยเงินไทย (ความเด๋อที่ลืมแลกเงินลาวไว้จึงต้องใช้เงินไทยตลอดทริป) เอาเข้าจริงมันไม่ได้ไปไหนมาไหนหรือทำอะไรยากมากมายนะบอกแล้วมันเหมือนกับเราเดินทางไปต่างจังหวัดแหละ รู้แบบนี้ก็เดินชิลสโลวไลฟ์รอบวัด (ตะกี้ยังประสาทแ_กอยู่เลยไม่ใช่หรือไง) วัดนี้มีโทนสีเหลืองและเก่าตามอายุ เราได้เซียมซีด้วยซึ่งคำแปลก็อ่านออกบ้างไม่ออกบ้างตามสกิลที่อ่อนหัด
เราเดินกันหลายโลแวะนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ ได้แวะกินอาหารโลคอลด้วย โลคอลแบบร้านส้มตำเพิงหมาแหงนบ้านเราเลย (Mission complete จ้าา) ได้แวะไป Patuxai แลนด์มาร์คอีกที่ของที่นี่ (ทำมาเป็นอีกท่งอีกที่ รู้อยู่ที่เดียวเนี่ย) เราเดินไปหลายที่ก่อนจะกลับไทยในช่วงเย็นๆ เป็นวันที่ดีอีกวันเลยแหละ ความโชคดีคือได้พกกล้องฟิล์มไปแต่มีฟิล์มแค่ม้วนเดียวเป็น Fuji C200 ถ่ายด้วยกล้องตัวเก่งของเรา เอกลักษณ์ของผลงานน้อง Yashica ตัวนี้ก็คือความแสงรั่วในรูปนั่นเอง (รั่วมันทุกรูปจริงๆนะ) เล่ามาซะน้ำลายแห้งลองไปดูกันดีกว่าว่ามันจะรั่วขนาดไหน รั่วเหมือนคนถ่ายรึเปล่า ,,

มีชาวต่างชาติเยอะแยะเลยคนยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น ไทย วันนั้นแดดจ้า อากาศร้อนแต่มีลมเย็นตลอด (แสงขาวๆยาวกลางรูปนั่นคือแสงรั่วนั่นเอง)

สูงยาวเชียว หมายถึงต้นมะพร้าวด้านหลังนะ คิดอะไรกันอยู่

กล้องฟิล์มเรามีความเด๋ออีกอย่างคือภาพที่ถ่ายจริงจะเบี้ยวไปทางขวาเพราะฉะนั้นเวลาจะถ่ายต้องกะดีๆ แต่ภาพนี้ฟลุ๊คไม่เบี้ยวขวาเฉยเลย

เดินไปอีกนิดเราจะเจอ Ho Prakeo ไม่ได้เข้าไปเลยได้ถ่ายแต่ข้างนอก

ถนน รถ ต้นไม้ ที่ประเทศลาวคนขับรถจะอยู่ด้านซ้ายของรถ

บรรยากาศที่นั่นเหมือนประเทศไทยนี่แหละ คนลาวก็หน้าตาคล้ายคนไทย ภาษา การพูดคล้ายกันหมด

เราเดินไปเรื่อยๆ เจอตรงไหนที่สนใจก็หยุดถ่ายรูป ทำตัวไม่เร่งรีบ (ป่าว จริงๆร้อนและเหนื่อยมาก แรงก็จะหมด หิววววด้วย)

ชอบความเก่าแต่มีเครื่องระบายความร้อนของแอร์คอนดิชั่น ชอบสีเหลืองแบบนี้

แสงรั่วสุดๆ ตึกนี้เป็นตึกทรงฝรั่งสีขาว อันที่จริงเป็นเหมือนบ้านมากกว่า เราเกาะรั่วถ่ายรูป 3-4 รูป ก่อนจะเดินต่อ

หลังจากพักกินอาหารโลคอลข้างทาง (ซึ่งลืมถ่ายรูปมามัวแต่กินอยู่นึกได้ตอนหลุมดำในท้องสูบของกินไปหมดแล้ว) ในที่สุดเราก็มาถึงแลนมาร์ค Patuxai นั่นเอง

เราจ่ายค่าตั๋วและขึ้นไปด้านบนเพื่อไปดูวิวมุมสูง ด้านบนมีร้านขายของด้วย แปลกใจเล็กน้อยแต่ก็อินกับลมเย็นๆและวิวด้านบนมากกว่า

วิวฝั่งแรกเป็นถนน รถรา ตึกสูงที่พึ่งสร้างและกำลังก่อสร้างอยู่ ไม่รู้ว่ามาครั้งหน้าวิวตรงนี้จะเปลี่ยนไปมากขนาดไหนเหมือนกัน

ส่วนวิวฝั่งนี้เป็นน้ำพุและลานจอดรถสำหรับนักท่องเที่ยว ครั้งนี้เสียดายที่เขาไม่ได้เปิดน้ำพุ คนบาปจริงๆ

ทางลง ,, ภาษาลาวคล้ายกับภาษาไทยเลยอ่านออกได้บ้างไม่ได้บ้าง เวลาเจอป้ายต่างๆเลยต้องลองอ่านมันทุกป้ายเลย สนุกดี

บริเวณรอบๆแลนด์มาร์คของเรา วันที่เราไปเป็นวันที่คนไม่เยอะ เดินง่าย ถ่ายรูปไม่ติดคนมากมาย

จะกลับแล้วขอเก็บรูปตัวเองไว้สักหน่อย และนั่นแหละครับบบบ ไม่มีอะไรเป็นไปตามที่คาดสักอย่าง หน้าเบลอหลังชัด คุณป้าด้านหลังนี่ชัดเชียว TT
การทำอะไรแบบที่ไม่ได้ตั้งใจการหลงลืมสติไปช่วงหนึ่งหรือทำอะไรที่ใช้อารมณ์ชั่ววูบเราอาจจะใช้คำว่า เผลอ แทนก็ได้ เผลอเป็นคำกริยาหมายความว่าการหลงลืมไปชั่วขณะ เลินเล่อหรือการขาดความระมัดระวัง ในช่วงชีวิตของเราคงมีเรื่องให้เผลอไม่น้อย เช่น ช่วงนี้ลดความอ้วนแต่เผลอกินแหนมเนืองชุดใหญ่แล้วต่อด้วยเนื้อย่างชุดจัมโบ้ไป (พึ่งทำแบบนี้ไปมื้อเย็นของเมื่อวาน -,-) เผลอหลับยาวจาก 6 โมงเย็นถึง 6 โมงเช้าของอีกวันทั้งที่มีงานรอให้เผาอีกเป็นตั้งๆ (เผางานพร้อมเผาตัวเองเลยจ้าาาา) บางคนอาจจะเคยเผลอใจไปชอบคนที่รู้จักกันแค่แป๊บเดียว (หวั่นแหล่ววว แล้วนี่แซวทำไมนะ) หรืออาจจะเผลอใจชอบหนุ่มที่มีสามีอยู่แล้ว เป็นต้น
ดูๆไปข้อเสียของการเผลอดูจะมีเยอะเนอะเราลองมาหาข้อดีกันบ้างดีกว่า หากคุณได้บังเอิญเผลอไปทักทายใครสักคนที่คิดว่ารู้จัก (แต่จริงๆไม่รู้จัก) หรือเผลอยิ้มให้คนแปลกหน้าในคอนเสิร์ต งานนิทรรศการศิลปะ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ คุณอาจจะได้เพื่อนใหม่ดีๆโดยไม่คาดฝันก็ได้ (ไม่ขอรับรองเพราะคนอื่นอาจจะหาว่าคุณบ้า)
ต้องยอมรับเลยว่าสิ่งที่เราเผลอทำบ่อยมากที่สุดก็คือ การเผลอทำร้ายความรู้สึกของคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ .. บางคำพูดบางการกระทำของเราที่ผ่านการไม่ได้คิดหรือการคิดแบบรวดเร็วนั้นอาจจะไปทำร้ายความรู้สึกของคนอื่น เราไม่รู้ว่าแต่ละคนเซนสิทีฟเรื่องอะไร ไม่รู้ว่าแต่ละคนผ่านอะไรมาบ้าง ทุกกรณีคือความรู้สึกของผู้ถูกกระทำถูกทำลายไปแล้ว ผู้กระทำค่อยคิดได้ (มีบ้างที่ไม่รู้)
แล้วต้องทำยังไงถ้าความรู้สึกมันเสียไปแล้ว ?
คำตอบคงจะเป็นทำอะไรไม่ได้เหมือนคุณทำดินสอไม้หักแล้วพยายามเหลามันไปเรื่อยๆสุดท้ายดินสอมันก็สั้นลงอยู่ดีคุณทำได้เพียงระมัดระวังการใช้ดินสอไม่ให้มันหักอีก ในความเป็นจริงแล้วคงทำได้เพียงแค่กล่าวคำว่า ขอโทษ (ด้วยความจริงใจและสำนึกผิดจริงๆ)
แล้วช่วงนี้คุณเผลอทำอะไรบ้าง มีเผลอไปทำร้ายความรู้สึกบ้างรึเปล่า ไหนเล่าให้เราฟังหน่อย (:
ปล. ขอขอบคุณคนที่ถ่ายรูปเรากับแลนด์มาร์ค Patuxai ด้วยนะคะ แม้ว่าจะโฟกัสคุณป้าด้านหลังแทนโฟกัสหน้าเราแต่ก็ถือเป็นความทรงจำดีๆกับ 1 วันที่เวียงจันทน์ (:
Anjana Wichalai
Comments