Lost in Vietnam : Sapa
- Anjana Wichalai
- Mar 30, 2019
- 1 min read
ต่อเนื่องจากพาร์ทที่แล้วหลังจากขึ้นรถบัสนอนจากฮานอยตอนสี่ทุ่มเรามาถึงซาปาตอนตี 3 แต่เขาให้เรานอนต่อบนรถได้ถึง 6 โมงเช้า (ดีมากจ้าแต่เอาจริงก็นอนไม่หลับ) พอลงจากรถมาภาพที่เห็นคือทั้งเมืองเต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน อากาศตอนนั้นประมาณ 12 องศาเซลเซียส เราพบกลุ่มคนไทยที่พักโรงแรมเดียวกันจึงหารค่าแท็กซี่ไปด้วย เราสองคนตั้งใจจองห้องที่มีวิวภูเขาขั้นบันไดกะมาพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ ส่วนทางโรงแรมยังเช็คอินไม่ได้พวกเราจึงฝากกระเป๋าและอาบน้ำ (มีห้องอาบน้ำให้ด้วยน้ำอุ่นด้วยนะ) พนักงานที่โรงแรมคุยง่ายสื่อสารภาษาอังกฤษได้สบายแถมมีคนนึงสามารถพูดไทยได้ด้วยเพราะพี่เขาเคยมาอยู่ไทยหลายปี อาบน้ำเสร็จเราก็ไปหาข้าวเช้าทานซึ่งไม่พ้นเฝ๋ออีกตามเคยทานเสร็จเราก็ไปที่ฟานซิปันกันต่อเลย
วิธีไปของเราคือไปซื้อตั๋วรถไฟพร้อมกับบัตรขึ้นกระเช้าที่ Sun Plaza แถมยังเป็น Sapa Station ด้วยอยู่ใจกลางเมืองเลยตึกใหญ่ๆหาง่ายมาก หรือจะขึ้นแท็กซี่ไปก็ได้แต่ราคาโหดเหมือนกัน ส่วนGrabก็มีแต่กดจองยากเหลือเกิน (คนบาปหรอคะเนี่ย) อีกวิธีนึงคือเช่ารถมอไซค์แต่เรากลัวกับถนนหนทางประกอบกับสติที่น้อยพอๆกับเวลาในการนอนจึงตัดสินใจไปวิธีสบายดีกว่า ซึ่งจะเลือกวิธีไหนแล้วแต่ความสะดวกเลยฮะ


ร้านค้าและตึกต่างๆสีสันสวยงามและยังคงเป็นตึกสูง 3-4 ชั้นเช่นเคย


ตึก Sun Plaza ที่บอกตึกใหญ่มากๆ หาง่าย สีสวยด้วย

ด้านข้างของตึก Sun Plaza

ซื้อตั๋วเสร็จก็ขึ้นรถไฟเลยขึ้นที่ตึกนั้นแหละ รถไฟที่ขึ้นเป็นรถไฟเล็กๆนั่งจาก Sun Plaza ขึ้นไปที่ขึ้นกระเช้าฟานสิปันเลย บรรยากาศข้างทางดีมากๆ

ทางรถไฟอยู่ริมเขาแถมมีรางเดียว มีตรงที่ให้สวนกันแค่ที่เดียวเล็กๆ โชคดีที่เราถ่ายทันตอนรถไฟสวนกันด้วย

ถึงสถานีปลายทางก็เดินต่ออีกนิดเพื่อไปสถานีกระเช้าซึ่งด้านหน้าก็จะมีวัดอยู่แวะถ่ายรูปสักนิดนึง

Fact : ที่นี่เป็นกระเช้าแบบสามสายไม่หยุดพักที่ยาวที่สุดในโลกโดยมีความยาวถึง 6,292 เมตร หรือประมาณ 6 กิโลเมตร
(อ้างอิงจาก www.wonderfulpackage.com/article/v/812/)

เมื่อนั่งกระเช้าประมาณ 20 นาที เราก็มาถึงด้านบนภูเขาอีกฝั่งซึ่งต้องบอกว่าเตรียมเสื้อผ้ากันลมและฮีทเทคมาด้วยเพราะลมแรงมาาาาก

บรรยากาศรอบๆจะเห็นวิวภูเขาและหมอกเต็มไปหมด ข้างบนแดดจ้ามากๆแต่ไม่ทำให้อุ่นขึ้นเลย TT

ด้านบนก็จะมีบันไดและทางให้ขึ้นไปที่ถ่ายรูป จุดชมวิวต่างๆ

ยิ่งสูงก็ยิ่งลมแรงเสื้อกันหนาวของเราไม่อาจต้านความหนาวได้ไม่นานเราก็ลงมาและกลับไปเช็คอินที่โรงแรม

ขาลงแวะทุ่งดอกไม้ พาเจ้าบ๊อบเข้าเฟรมหน่อย


เช็คอินเสร็จก็มาที่ห้องพักบอกเลยว่าค่อนข้างประทับใจทั้งบรรยากาศห้องที่น่านอนมากและวิวที่สวยจับใจ ห้องเราเป็นเตียงเดี่ยว 3 เตียง (มา 2 คนจอง 2 เตียง นี่ก็งง) ห้องมีอุปกรณ์ครบทุกอย่างแชมพู ครีมอาบน้ำ ไดร์ เเอร์ ตู้เย็น หมอนหนุ่ม เตียงเด้ง ผ้าห่มนิ่ม เอนตัวลงไป 3 วิก็หลับแล้ว

ด้านนอกระเบียงเป็นวิวนาขั้นบันได มีหมอกแทบจะตลอดทั้งวัน อากาศก็เย็นสบายด้วย ขอพักสักแป๊บแล้วตอนเย็นไปเดินเล่นในเมืองกัน

ตั้งใจไปดูพระอาทิตย์ตกแต่พอเดินมาที่กลางเมืองทั้งเมืองก็ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกแล้วจ้า ไหนพระอาทิตย์ตกของช้านนน

หมอกหนาแบบนี้เลย
หลักจากที่เราสองคนอกหักจากพระอาทิตย์ตกแล้วพวกเราก็หาสิ่งมาดามใจแทนนั่นก็คือ ชาบูแซลมอน นั่นเอง เห็นว่าเป็นเมนูขึ้นชื่อขอลองสักครั้งแล้วกัน (ไม่ได้ถ่ายฟิล์มมาให้ดูอีกแล้ว เดี๋ยวแปะเพิ่มให้ในโพสต์นะ) อร่อยจริงต้องมาลองที่นี่เขาเลี้ยงปลาเองด้วยนะ สดจริงหวานฉ่ำเต็มปากเต็มคำเสร็จจากมื้อเย็นเราก็เดินเล่นรอบเมืองนิดหน่อยแล้วกลับโรงแรมแวะซื้อผลไม้สดข้างทางติดมือไปด้วย
คืนนี้พวกเราอาบน้ำและนอนเร็ว (เหนื่อยที่เดินบนฟานสิปันประกอบกับนอนน้อยมาหลายวันด้วย) เพราะพรุ่งนี้ตั้งใจว่าจะไปดูวิวนาขั้นบันไดถ่ายรูปชิวๆก่อนจะเช็คเอาท์กลับฮานอยซึ่งที่ถ่ายรูปไม่ไกลจากที่พักเดินเท้าประมาณ 10 นาที (ยังไม่รู้ตัวว่าพรุ่งนี้จะโดนอะไร ฮ่าๆ) ราตรีสวัสดิ์ คร่อกกก
รุ่งขึ้นเราทานอาหารเช้าของทางโรงแรมห้องอาหารที่มีวิวภูเขานาขั้นบันไดฟินมากๆ มีแรงแล้วเราก็ออกเดินทางไปที่จุดชมวิวนานขั้นบันได จริงๆมันมีวินมอไซค์นะสะดวกดีแต่เราอยากเดินเพื่อจะจดจำภาพสองข้างทางช้าๆ ในขณะที่เดินอยู่ก็มีชาวม้งพื้นเมืองเข้ามาประชิดตัวถามว่าเราจะไปไหน มาจากไหน ชื่ออะไร (โดนละแกร๊) พี่เขาสองคนเป็นผู้หญิงตัวเล็กมากๆใส่ชุดพื้นเมืองและแบกเป้คนละใบ ยอมรับว่าพี่เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งมาาาาก พี่เขาเลยชวนไปเทรคเดินผ่านหมู่บ้านม้งไรงี้ พวกเราสองคนก็สองจิตสองใจก็บอกเขาไปว่าต้องรีบกลับไปขึ้นรถ เขาก็บอกว่าไป 30-45 นาที หญิงสาวเด๋อด๋าสองคนก็คิดว่าไหนๆก็มาแล้วไปก็ไปวะ

พี่ม้งที่มีสกิลภาษาอังกฤษไอเอลต์ 8.5 ค่ะะะ (หยอกกก)

เขาก็พาเดินไปตามทางก็เริ่มจากลงเขาง่ายๆ และเริ่มยากขึ้นเป็นลงทางต่างระดับสูง ลอดต้นไม้ ข้ามลำธารโดยเหยียบก้อนหินไป ตัดภาพมาที่ชุดและรองเท้าของสองสาวคนนึงใส่ Keds อีกคนใส่ Adidas วิ่งบนลู่ไป โอ้ยยย ขานี่เริ่มสั่นค่ะเสื้อที่ใส่มาต้องถอดออกชั้นนึงเพราะตัวเริ่มเปียกเหงื่อ แต่พี่ม้งเขาดูแลดีมากนะช่วยจับช่วยเกาะเราให้เดินอย่างปลอดภัย (ฉันล้มไปรอบนึงจ้า)

ทางก็จะลัดภูเขาไปสองข้างทางก็เห็นวิวนาขั้นบันไดแบบใกล้ชิดมากๆ (สมใจพวกเธอไหมมม)


เจ้าควายเผือกน่ารักมากๆ

พี่ม้งคนนึงเขาวิ่งลงไปด้านล่างไปเก็บต้นไม้มาประดิษฐ์ซัมติงให้เรา

สิ่งนั้นก็คือนี่ น่ารักมากๆ ทำเป็นรูปหัวใจ

สุดท้ายเราเอง มาถึงซาปาแล้วนะ
และนี่คือซาปาเมืองในหุบเขาซ่อนตัวในม่านหมอกเรามาแค่ 2 วัน 1 คืนบอกเลยว่าไม่พอครั้งหน้าจะเตรียมตัวให้ดีกว่านี้เพื่อมาเทรคกิ้งและไปหมู่บ้านพื้นเมืองให้ได้ จากนั้นเราก็เดินแยกตัวออกมาเพื่อกลับไปเช็คเอาท์ที่โรงแรมก่อนกลับพวกเราซื้อของที่พี่ม้งแบกใส่กระเป๋าโดเรมอนมา ขากลับเดินขึ้นเขาพอมาถึงถนนขานี่สั่นและอ่อนแรงมากจึงนั่งวินกลับ
หลังจากเช็คเอาท์และล้างหน้าล้างตาแล้วเราก็นั่งวินไปขึ้นรถบัสนอนแถวทะเลสาบเพื่อกลับฮานอย ช่วงบ่ายรอบทะเลสาบก็ยังคงมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งวัน อากาศเย็นสบาย ลาแล้วไว้กลับมาเจอกันอีกนะซาปา ...
เราถึงฮานอยช่วง 1 ทุ่ม ไปเช็คอินที่โฮสเทลที่เราจองไว้แล้วจากนั้นก็หาข้าวเย็นทานก่อนที่จะไปดูละครหุ่นกระบอกน้ำที่จองไว้ เราจองรอบดึกสุด 21.30 น. ละครเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของทะเลสาบคืนดาบ (คิดว่านะ) ดูเสร็จก็เพลียได้ที่กลับไปอาบน้ำนอน โฮสเทลที่เราพักมีหลายแบบเราเลือกห้องเฉพาะผู้หญิง มีอาหารเช้า น้ำอุ่น ผ้าเช็ดตัว ไดร์ ส่วนตัวคิดว่าที่นี่ถูกใจระดับนึง ข้างล่างโฮสเทลเป็นบาร์เปิดตอนกลางคืน (แต่เราไม่ได้แวะเข้าไป อดรีวิว) วันนี้เป็นวันสุดท้ายสำหรับการเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนแล้วพรุ่งนี้เช้ามันบินกลับละ แอบใจหายเหมือนกันที่จะต้องเที่ยวต่อคนเดียวด้วยความเหนื่อยเราก็หลับไปตื่นมาอีกทีคือเพื่อนกำลังจะกลับแล้วบอกลาเพื่อนด้วยความงัวเงียแล้วนอนต่อจ้า
ขอบคุณเพื่อนมากที่ดูแลกันและกันจนจบครึ่งทริปครั้งหน้าต้องไปให้จบทริปนะ เป็นกำลังใจให้กับการสอบจบและการใช้ชีวิตต่อไป (:
ไม่รู้ว่าจะมีพาร์ทหน้าไหมเพราะฟิล์มม้วนที่ถ่ายตอนเที่ยวคนเดียวยังไม่เอาไปล้างเลยถ้ารูปไม่เสียก็คงจะมีพาร์ทหน้าต่อแน่นอนฮะ สปอยล์แบบที่ไม่รู้จะมีพาร์ทหน้าไหม ฮานอยในวันที่ฝนตกทั้งสามวันที่เที่ยวคนเดียวและประสบการณ์การโดนGrabจีบ
พาร์ทนี้คงเป็นพาร์ทที่ยาวที่สุดตั้งแต่เขียนมาทั้งหมดเลยก็ว่าได้คงถึงเวลาจบพาร์ทนี้แล้ว ขอบคุณที่ติดตามฮะ หวังว่าจะมีพาร์ทต่อไปนะ
Anjana Wichalai
コメント